ไททานิคกับไทยเฉย
Share this post on: Twitter Facebook
ปริศนาของโศกนาฏกรรม ไททานิค ยังเป็นที่กังขาในหมู่นักประวัติศาสตร์จนถึงทุกวันนี้ สาเหตุของการอัปปางเป็น “เหตุสุดวิสัย” หรือเกิดจาก “ความประมาท” เลินเล่อของลูกเรือ ระบบการสื่อสารภายในเรือ กันแน่ บางสมมุติฐานก็บอกว่าช่วงเวลาการเดินเรือไปตรงกับจังหวะที่โลกได้รับแรงดึงดูดจากดวงจันทร์มากเป็นพิเศษส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงผิดปกติและเป็นเหตุให้ ภูเขาน้ำแข็งจำนวนมากหลุดออกจากธารน้ำแข็งลอยเข้ามาสู่เส้นทางการเดินเรือ ไททานิค บ้างก็ว่าเกิดการสื่อสารผิดพลาดระหว่างกัปตันกับต้นกล แทนที่หัวเรือจะหันหลบจากการพุ่งชนภูเขาน้ำแข็ง กลับกลายเป็นว่า ต้นกลหันหัวเรือพุ่งเข้าไปยังตำแหน่งที่ตั้งของภูเขาน้ำแข็งแทน! ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนมองว่าด้วยข้อจำกัดทางด้านเทคโนโลยีการเดินเรือสมัยนั้นที่ยังไม่มี เรดาร์ ใช้ ทำให้ระบบนำร่องต้องพึ่งพาสายตาของกะลาสีเรือเป็นส่วนใหญ่ อาจเป็นไปได้ที่เกิดการหักเหของแสงในช่วงเวลาดังกล่าวเกิดเป็นภาพสะท้อนของภูเขาน้ำแข็งในตำแหน่งที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
แม้ว่าสาเหตุของการอัปปางยังคลุมเครือแต่ข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ เรือเดินสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ยุคนั้นได้ จมลง!! แต่ก่อนที่เรือจะจม อากัปกิริยาและพฤติกรรมของผู้ที่อยู๋บนเรือช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ
1. มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งคือลูกเรือที่ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับการที่จะไม่ให้น้ำทะเลเข้ามาในเรือ ไม่ต่างอะไรกับทหารหาญที่สู้รบเพื่อปกป้องประเทศในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย และท้ายสุดคนกลุ่มนี้คือผู้ที่ต้องเสียสละชีวิตไปกับการปกป้องประเทศ
2. มีคนอยู่อีกกลุ่มหนึ่งเช่นกันที่ไม่เคยสน “ห่า” อะไรกับหายนะที่กำลังเกิดขึ้น ยังคงเต้นกินร้องรำทำเพลง ไม่ต่างอะไรกับพวก “ไทยเฉย” ที่ยังคงกระหน่ำโพสต์ เรื่องส่วนตัว กิจวัตรประจำวันของตัวเอง โดยไม่แสดงความเห็น และนิ่งเฉยต่อทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศนี้เสมือนหนึ่งว่า มันไม่เกี่ยวอะไรกับกู แต่…คนพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับผู้โดยสารที่ตีตั๋วชั้นสามในเรือ ไททานิค ซึ่งท้ายสุดคนกลุ่มนี้เองที่กลับกลายเป็นผู้ที่ต้องได้รับผลกระทบมากที่สุด
3. แต่ท่ามกลางความโกลาหลมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่ไม่ต้องเดือดร้อน เพราะแม้ว่าเรือไททานิคจะมีผู้โดยสารถึง 2,200 คนและมีเรือสำรองสำหรับเหตุฉุกเฉินที่รองรับผู้โดยสารได้เพียงแค่ 1,100 คนก็ตาม คนกลุ่มนี้ก็จะได้รับการสำรองที่นั่งไว้อย่างดีและจะเป็นผู้ที่รอดตายเสมอ นั้นคือกลุ่มผู้โดยสารที่ตีตั๋วชั้นหนึ่ง หรือพวกกลุ่มนายทุน นักการเมือง ชั้นแนวหน้าที่ต่อให้ประเทศนี้ต้องล่มจมลงพวกเข้าก็มีทรัพย์สมบัติมากพอที่จะไปเสวยสุขต่อในต่างประเทศ
เรื่องที่น่าเศร้าคือทุกโศกนาฏกรรมทางการเมือง ผู้ที่สูญเสียส่วนใหญ่คือผู้ที่ได้รับโอกาสน้อยกว่า มีรายได้น้อยกว่า หรือถูกหลอกด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือแม้รู้ว่าถูกหลอกแต่ก็เต็มใจให้หลอก จะด้วยอำนาจของเงินตราหรือมิจฉาทิษฐิก็แล้วแต่ ผลลัพธ์คือส่วนรวมได้รับผลกระทบจากการเพิกเฉยของกลุ่มที่ไม่แคร์สื่อเหล่านี้
กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศไทย ณ ปัจจุบัน ผมมองว่ามันยังไม่ถึงขั้นเกินเยียวยา ประเทศยังไม่เหมือนเรือไททานิคที่ได้พุ่งชนก้อนภูเขาน้ำแข็งแล้ว แม้ว่าชาติจะขาดทุนไปกว่า 300,000 ล้านกับการจำนำข้าว ยังไม่รวมถึงโครงการน้ำอีก 350,000 ล้านหรือรถไฟความเลวสูงอีก 2 ล้านล้านบาท ที่รัฐบาลกะจะกู้มาถลุงค่าคอมกันอย่างเมามันส์
แต่หากพวก “ไทยเฉย” ยังคงเฉยและทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อ เราเป็นแบบเรือ ไททานิค แน่ๆครับ และอย่าลืมว่าคนที่รอดคือพวกที่ตีตั๋ว “ชั้นหนึ่ง” เสมอ!!